Popular Posts

Wednesday, February 27, 2013

การถนอมแบตเตอรี่จึงตกอยู่ที่การใช้งานเป็นหลัก คือ


การถนอมแบตเตอรี่จึงตกอยู่ที่การใช้งานเป็นหลัก คือ
 

1. พยายาม ลดการใช้พลังงานแบตเตอรี่เกินกำลัง ซึ่งแม้ว่า การแบตเตอรี่สำหรับอุปกรณ์แต่ละรุ่นจะถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานนั้นๆ แล้วก็ตาม แต่หากเราลดการใช้กำลังไฟ ที่ไม่จำเป็น ก็จะช่วยลดภาระของแบตเตอรี่ และช่วยยืดอายุการใช้งานได้ เช่น สำหรับโน้ตบุ๊ค เมื่อไม่ได้ใช้งาน Wireless lan, Bluetooth ก็ควรปิด ไม่ควรเปิดไว้ เพราะว่าระบบเหล่านี้ ก็จะทำงานกินไฟไปเรื่อยๆ โดยไม่จำเป็น

2. พยายามถอดแบตเตอรี่ออกทุกครั้งที่มีการเสียบไฟบ้าน สำหรับในกรณีนี้ เป็นข้อแนะนำที่อาจจะดูกลางๆ หรือว่า ไม่จำเพาะเจอะจงว่าต้องทำ เนื่องจากโน้ตบุ๊คหลายๆ รุ่นจะมีระบบตัดไฟอยู่แล้วเมื่อพบว่าแบตเตอรี่เต็มอยู่ ก็จะปรับไปใช้งานระบบไฟบ้านเพียงอย่างเดียว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า โน้ตบุ๊คทุกรุ่นจะมี หรือสามารถทำได้ ยังมีโน้ตบุ๊ค อีกหลายรุ่นที่ไฟจะถูกดึงจากแบตเตอรี่เป็นหลัก แม้ว่าจะเสียบไฟบ้านก็ตามซึ่ง ผลของมันคือ จะทำให้แบตเตอรี่ ทำงานอยู่ตลอดเวลาทั้งชาร์ตและจ่ายไฟในคราวเดียวกัน ส่งผลทำงานมากขึ้น เกิดความร้อน และทำให้ (cell battery) เสื่อมในที่สุดนั่นเองลักษณะรูปร่าง cell battery ของโน้ตบุ๊ค

3. ควร เคลียร์ (cell battery) ทุกๆ สามสิบครั้งของการชาร์จ เนื่องจากแบตเตอรี่ในกลุ่มนี้ จะนับจำนวนรอบและชาร์ตพลังเดิมได้ตลอด ทำให้หลายๆ ครั้งที่ ประจุ มีอาการเหมือนกับคั่งค้างอยู่ใน แบตเตอรี่ จนทำให้เจ้าโน้ตบุ๊คของคุณแสดงปริมาณของไฟ ไม่ตรง ซึ่งสังเกตุได้จาก อาการที่ เครื่องปิดตัวเองเหมือนกับแบตเตอรี่อ่อน ทั้งๆ ที่เครื่องของคุณยังแสดงปริมาณเหลืออีกเกือบครึ่งเป็นต้น
หมายถึงว่า มีประจุคั่งค้างใน (cell battery) เสียแล้ว วิธีการแก้ไขคือ ทุกครั้งการชาร์จไปแล้วประมาณ 30 ครั้ง ควรจะเปิดเครื่องใช้งานจนแบตหมดจริงๆ แล้วชาร์จให้เต็มซักครั้ง ก็จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ หรืออาจจะใช้งานให้จนหมดซักสองถึงสามครั้งแล้วชาร์ตจนเต็ม

4. อย่า เก็บแบตเตอรี่ไว้ในที่ร้อน เพราะหลายท่านมักจะพกพาเอา โน้ตบุ๊คไปไหนมาไหนเสมอ มักจะทิ้งไว้ในรถยนต์ โดยท่านไปทำกิจธุระอื่นๆ ทั้งวัน การทิ้งแบตเตอรี่ไว้ในรถยนต์ที่จอดทิ้งไว้ หากจอดไว้ในที่ร่มคงไม่เป็นไร แต่ถ้าจอดไว้กลางแดดแล้วละก็จะทำให้ (cell battery) ร้อน และเสื่อมสภาพเร็วกว่าปรกติครับ

5. อย่าเก็บแบตเตอรี่ไว้รวมกับสื่อนำไฟฟ้าอื่นๆ หรือในกล่องที่นำไฟฟ้าได้ เพราะหลายครั้งที่แบตเตอรี่เสียเนื่องมาจากเกิดการชาร์ตในระหว่างการเก็บ เช่น มีเศษเหรียญไปโดนบริเวณขั้วแบตเตอรี่ทั้งสองขั้ว เป็นต้น

6. เมื่อแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ และต้องการเปลี่ยน (cell battery) ภายใน ควรเลือกที่จะให้ทางศูนย์บริการเปลี่ยนให้ หรือซื้อจากศูนย์ฯ โดยตรง เพราะการเปลี่ยน (cell battery) ภายในนั้นหลายครั้งที่มีการใส่ (cell battery) ผิดแบบ ผิดประเภท จนทำให้เครื่องพังได้ครับ

7. อย่าลืมติดตามข่าวสารด้านเทคโนโลยีจากเว็บไซต์ต่างๆ เช่น ล่าสุดเราจะได้ยินข่าวแบตเตอรี่โน้ตบุ๊ค (ระเบิด!!) ซึ่งทางบริษัทผู้ผลิต ก็ได้ทำการแจ้งข่าวสารผ่านทางหน้าเว็บไซต์ของผู้ผลิตเอง แล้วทำการเรียกแบตเตอรี่รุ่นที่มีปัญหากลับคืน เพื่อเปลี่ยนรุ่นใหม่ให้ เป็นต้น

สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้ยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ และโน้ตบุ๊คของคุณได้นานยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถนำไปวิธีนี้ไปใช้งานกับแบตเตอรี่ในกลุ่มของ Lithium-ion ได้อีกด้วย

บทความจาก ByNatureOnline.com

ระดับความเเรงของการ์ดจอ


ระดับความเเรงของการ์ดจอ
 
ลำดับความแรงของการ์ดจอ Notebook ผมจะแบ่งออกเป็น 4 Class นะครับ

Class 1 แรงสุด ๆ
สุดยอดการ์ดจอของ Notebook ถ้าติดอยู่ใน Class นี้แล้วล่ะก็ถือว่าไร้เทียมทานเลยทีเดียว
รับรองว่าเล่นได้ทุกเกมส์ในโลกนี้แน่นอน และแน่นอนคือ ราคาก็คงแพงสุดๆ ด้วยครับ
เกมส์ โหดๆ อย่าง Age of Conan, Race Driver Grid, Call of Duty 4, Mass Effect, or Gothic 3 ปรับสุดลื่นหัวแตก
ตัวเทพสุดตอนนี้ (ปี 53) 
100% ATI Mobility Radeon HD 5870 Crossfire 
100% NVIDIA GeForce GTX 285M SLI
99% NVIDIA GeForce GTX 480M
90% NVIDIA GeForce GTX 280M SLI
89% ATI Mobility Radeon HD 3870 X2
88% NVIDIA GeForce 9800M GT SLI
87% NVIDIA GeForce 9800M GTS SLI
87% ATI Mobility Radeon HD 4870 X2
85% NVIDIA GeForce GTX 285M
81% NVIDIA Quadro FX 3800M
80% ATI Mobility Radeon HD 5870
79% NVIDIA GeForce GTX 280M
78% NVIDIA GeForce 8800M GTX SLI
78% ATI Mobility Radeon HD 3850 X2
77% ATI FirePro M7740
75% NVIDIA GeForce GTX 260M SLI
73% NVIDIA GeForce 9800M GTX SLI
72% ATI Mobility Radeon HD 4850
71% NVIDIA GeForce 9800M GTX
70% ATI Mobility Radeon HD 4870
70% NVIDIA Quadro FX 3700M
69% NVIDIA GeForce 9800M GTS
66% NVIDIA GeForce GTX 260M
66% NVIDIA GeForce 9800M GT
65% NVIDIA GeForce 8800M GTX
65% NVIDIA Quadro FX 3600M
63% ATI Mobility Radeon HD 5850
62% NVIDIA GeForce GTS 360M
61% NVIDIA GeForce GTS 160M
60% ATI Mobility Radeon HD 4830
57% NVIDIA GeForce 9800M GS
47% ATI Mobility Radeon HD 5830


Class 2 ขอบอกว่าแรง
การ์ดจอ Class 2 นี้ของ Note book ถึงจะไม่เทียบเท่า Class 1 แต่ก็ถือว่าใช้เล่นเกมส์ ได้เป็นอย่างดี
เอาเป็นว่าเกมส์โหดๆ ตอนนี้เล่นได้หมดลื่นหัวแตกเลยละกัน ราคาไม่แพงหาซื้อพอที่จะจับจองเป็นเจ้าของกันได้
เกมส์ Crysis, Age of Conan ปรับกลางๆ ไม่สูงมาก ก็เล่นได้สบายๆ
เกมส์ Fifa 08, Command & Conquer 3, or Battlefield 2142 ปรับสุดลื่นหัวแตก
60% NVIDIA Quadro FX 2700M
58% ATI Mobility Radeon HD 5730
56% NVIDIA GeForce 8700M GT SLI
57% NVIDIA GeForce GTS 250M
54% NVIDIA GeForce 9700M GTS
53% NVIDIA GeForce 8800M GTS
53% ATI Mobility Radeon HD 5770
53% ATI Mobility Radeon HD 5750
53% ATI Mobility Radeon HD 3870
53% NVIDIA Quadro FX 880M
51% ATI Mobility Radeon HD 5650
52% NVIDIA Quadro FX 1700M
50% ATI Mobility Radeon HD 4670
50% NVIDIA GeForce Go 7950 GTX SLI
50% NVIDIA GeForce 8600M GT SLI
49% ATI Mobility Radeon HD 4650
49% NVIDIA GeForce Go 7900 GTX SLI
49% NVIDIA Quadro FX 770M
48% NVIDIA GeForce GT 330M
48% NVIDIA GeForce Go 7950 GTX
47% ATI Mobility Radeon HD 5165
46% NVIDIA GeForce GT 240M
46% NVIDIA GeForce 9700M GT
46% NVIDIA Quadro FX 1600M
45% NVIDIA GeForce Go 7800 GTX SLI
44% NVIDIA GeForce GT 130M
43% NVIDIA GeForce Go 7900 GS SLI
43% NVIDIA GeForce Go 7900 GTX
42% NVIDIA GeForce GT 335M
42% NVIDIA Quadro FX 1800M
41% NVIDIA GeForce GT 230M
41% NVIDIA Quadro FX 2500M
41% NVIDIA Quadro NVS 320M
41% NVIDIA GeForce 9600M GT
40% NVIDIA GeForce 8700M GT
39% NVIDIA GeForce GT 120M
37% ATI Mobility Radeon HD 3850
37% NVIDIA Quadro FX 3500M
37% NVIDIA GeForce GT 325M
37% NVIDIA GeForce 9650M GT
37% NVIDIA GeForce 9650M GS
37% NVIDIA GeForce 9600M GS
36% NVIDIA Quadro FX 1500M
36% ATI Mobility Radeon HD 3670
36% ATI Mobility Radeon HD 2600 XT
36% NVIDIA Quadro FX 570M
35% NVIDIA GeForce Go 7800 GTX
35% NVIDIA GeForce GT 220M
35% ATI Mobility FireGL V5700
34% ATI Mobility Radeon X1900
34% ATI Mobility Radeon X1800XT
33% NVIDIA GeForce Go 7900 GS
32% ATI Mobility Radeon HD 2700
32% ATI Mobility Radeon HD 3650
30% NVIDIA GeForce 9500M GS
30% ATI Mobility Radeon HD 5470
30% NVIDIA GeForce 8600M GT
29% NVIDIA GeForce Go 6800 Ultra
28% NVIDIA GeForce GT 320M
28% ATI Mobility Radeon HD 5145
27% ATI Mobility Radeon HD 4570
27% NVIDIA GeForce Go 7600 GT
26% ATI Mobility Radeon X1800
26% NVIDIA GeForce 320M
25% ATI Mobility Radeon HD 2600
23% ATI Mobility FireGL V5725
23% NVIDIA GeForce Go 7800


Class 3 ปานกลาง
การ์ดจอ Class 3 นี้ของ Note book ถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ แต่ก็เล่นเกมส์ ทั่วๆไปได้สบายๆ
ATI Mobility Radeon HD 560v
ATI Mobility Radeon HD 550v
NVIDIA GeForce 310M
NVIDIA Quadro FX 380M
NVIDIA GeForce G 210M
NVIDIA Quadro NVS 3100M
NVIDIA GeForce 9500M G
NVIDIA GeForce 8600M GS
NVIDIA Quadro NVS 2100M
NVIDIA GeForce Go 7700
NVIDIA GeForce Go 6800
NVIDIA Quadro FX Go 1400
ATI Mobility Radeon X800XT
ATI Mobility Radeon HD 4550
ATI Mobility Radeon HD 545v
ATI Mobility Radeon HD 4530
ATI Mobility Radeon HD 4350
ATI Mobility Radeon HD 530v
ATI Mobility Radeon X1700
ATI Mobility FireGL V5250
ATI Mobility Radeon X2500
NVIDIA GeForce Go 7600
NVIDIA Quadro NVS 300M
ATI Mobility Radeon X800
ATI Mobility Radeon X1600
ATI Mobility FireGL V5200
ATI Mobility Radeon 9800
NVIDIA GeForce Go 6600
ATI Mobility Radeon X1450
ATI Mobility Radeon X700
ATI Mobility FireGL V5000
NVIDIA GeForce 305M
NVIDIA GeForce G 110M
ATI Mobility Radeon HD 4330
NVIDIA GeForce 8400M GT
NVIDIA Quadro NVS 140M
NVIDIA GeForce G 105M
NVIDIA GeForce 9500M GE
NVIDIA GeForce G 103M
NVIDIA GeForce G 102M
NVIDIA GeForce G 205M
NVIDIA GeForce 9400M (G) / ION (LE)
ATI Mobility Radeon HD 3470 Hybrid X2
NVIDIA GeForce 9400M GeForceBoost
ATI Mobility Radeon HD 3470
NVIDIA GeForce 9300M G
NVIDIA GeForce 9300M GS
NVIDIA Quadro FX 370M
NVIDIA Quadro NVS 160M
NVIDIA GeForce 9200M GS
ATI Mobility Radeon HD 3450
ATI Mobility Radeon HD 3430
ATI Mobility Radeon HD 3410
ATI Mobility Radeon HD 2400 XT
ATI Radeon HD 4270
ATI Radeon HD 4250
ATI Radeon HD 4200
Intel Graphics Media Accelerator HD Graphics
NVIDIA Quadro NVS 150M
NVIDIA Quadro FX 360M
ATI Mobility Radeon X1350
ATI Mobility Radeon X1400
NVIDIA GeForce 9100M G
NVIDIA GeForce 8400M GS
NVIDIA Quadro NVS 135M
ATI Mobility Radeon HD 2400
ATI Radeon HD 4100
ATI Radeon HD 3200
ATI Radeon HD 4225
ATI Radeon HD 3100
NVIDIA GeForce 8400M G
NVIDIA GeForce 8200M G
Intel Graphics Media Accelerator (GMA) 4700MHD
Intel Graphics Media Accelerator (GMA) 4500MHD
Intel Graphics Media Accelerator (GMA) 4500M
NVIDIA Quadro NVS 130M
NVIDIA GeForce Go 7400
NVIDIA Quadro FX 350M
NVIDIA Quadro NVS 120M
NVIDIA GeForce Go 7300
NVIDIA Quadro NVS 110M
ATI Mobility Radeon X600
ATI Mobility FireGL V3200
ATI Mobility FireGL V3100
ATI Mobility Radeon X2300
ATI Mobility Radeon HD 2300
ATI Mobility Radeon 9700
ATI Mobility FireGL T2e


Class 4 พอใช้ได้
การ์ดจอ Class 4 นี้ของ Note book ถือว่าอยู่ในระดับพอใช้ได้ สำหรับคนไม่เน้น กราฟฟิก
ATI Mobility Radeon X1300
NVIDIA GeForce4 4200 Go
ATI Mobility Radeon 9600
ATI Mobility FireGL T2
ATI Mobility Radeon 9550
NVIDIA GeForce Go 7200
NVIDIA GeForce Go 6400
ATI Mobility Radeon X300
NVIDIA GeForce Go 6250
NVIDIA GeForce Go 6200
NVIDIA GeForce FX Go 5700
NVIDIA Quadro FX Go 1000
NVIDIA GeForce FX Go 5600 / 5650


จริงๆ ต่ำกว่านี้ยังมีอีกนะครับแต่ว่าเอาไว้เท่านี้ก่อนดีกว่า
ต่ำมากๆ ก็คงอยู่ในระดับที่ไม่ต้องสนใจอยู่แล้วนะครับ ลงล่างจากนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์
เพราะคนที่คิดจะซื้อ Notebook เน้นกราฟิก คงไม่น่าจะต่ำกว่า Class 4 อยู่แล้วครับ

ขอบคุณ ข้อมูลจาก notebookcheck.net

สาย HDMI 1.4 มีอะไรดี


สาย HDMI 1.4 มีอะไรดี 
 
ถ้าใครคิดจะเล่นเกมส์ระดับ ps3 xbox360 ถ้าอยากให้ได้อรรถรสเต็มที่ ต้องใช้สาย Hdmi ครับเพราะ เกมส์สมัยนี้ปล่อยสัญญานออกมา 720P ครับซึ่งสาย AV ที่เราใช้กันเนี่ยมันส่งออกมาได้เเค่ 480p เท่านั้นเองครับ เเต่ทั้งนี้ tv ก็ต้องรองรับด้วยนะครับ 720P นี่ถ้าจะให้เห็นความเเตกต่างนะครับ 
 
 
โลกนี้ไม่มีสาย HDMI 1.1, 1.3, 1.4 ใดๆ ทั้งสิ้นมันเป็นแค่ป้ายบนกล่อง เพื่อให้ User เข้าใจง่ายๆ HDMI 1.4 เป็นแค่ "มาตรฐาน" ที่กล่าวถึง port และ สาย hdmi เท่านั้นซึ่งตัว port มันจะเปลี่ยนทุก version จึงพออนุโลมเรียกตามๆ กันได้แต่สายนั้น แทบไม่เคยเปลี่ยน ในมาตรฐาน HDMI 1.3 นั้น มีการกำหนด ประเภทของสาย HDMI ไว้ 2 แบบ คือ

1. Category 1 หรือ "Standard Cable" สามารถรองรับภาพได้ที่ 720p และ 1080i2. Category 2 หรือ "High-Speed Cable" สามารถรองรับภาพได้สูงกว่านั้น (เช่น 1080p60, 2160p30)

แต่อย่างไรก็ดี สายที่สร้างก่อนมาตรฐาน 1.3 จะออกนั้น ถ้าไม่เกิน 5 เมตร ก็จำทำงานใน mode Category 2 ได้ทั้งหมดกล่าวคือ สายเก่าๆ ถ้าไม่เกิน 5 เมตร ก็จะทำงานได้ถึง 1080p60 สบายๆ (ถ้าสายไม่กากนะ)แต่ถ้าสายที่ได้มาตรฐาน Category 2 แท้ๆ จะสามารถทำงานได้ถึง 15 เมตร (นอกนั้นก็ลุ้นเอา)
แต่ในมาตรฐาน HDMI 1.4 นั้น ได้กำหนด สาย HDMI ในรูปแบบต่างๆ ดังนี้

Standard HDMI Cable - up to 1080i and 720pStandard HDMI Cable with EthernetAutomotive HDMI CableHigh Speed HDMI Cable - 1080p, 4K, 3D and Deep ColorHigh Speed HDMI Cable with Ethernet
พูดง่ายๆ คือเพิ่มสายที่ผูกสาย LAN เข้าไป (with Ethernet) กับสายสำหรับใช้ในรถยนต์กล่าวคือ สายใน Category 2 มันคือ สายเส้นเดียวกับ High Speed HDMI Cable สำหรับ HDMI 1.4 นั่นเอง

การทำ Over Clock CPU มีข้อดี ข้อเสีย อย่างไร


การทำ Over Clock CPU มีข้อดี ข้อเสีย อย่างไร
 
 
 
 
 
Over Clock คืออะไร

คือการนำเอาอุปกรณ์เช่น CPU ที่ออกแบบมาสำหรับให้ทำงานที่ความเร็วค่าหนึ่ง แต่นำมาใช้งานที่ความเร็วสูงกว่านั้น เช่น CPU ความเร็ว 400 MHz แต่นำมาใช้งานที่ 500 MHz แทน หรือนำเอา CPU ที่เป็นนรุ่นความเร็ว 500 MHz มาทำงานที่ความเร็ว 667 MHz อะไรทำนองนี้ครับ ภาษาที่ใช้แทนสำหรับการ Over Clock ก็เช่น 400@500 หรือ 500@667 เป็นต้น นอกจากนี้ อุปกรณ์อื่น ๆ ก็สามารถนำมา Over Clock ได้เหมือนกันนะครับ เช่น RAM ที่เป็นแบบความเร็ว 100 MHz แต่นำมาทำงานที่ความเร็ว 133 MHz รวมถึงการ Over Clock การ์ดจอด้วยครับ เช่นปกติการ์ดจอทำงานที่ความเร็ว 110 MHz แต่เราตั้งให้ทำงานที่ 120 MHz อย่างนี้เรียกว่า Over Clock เหมือนกัน แต่โดยทั่วไปแล้วนิยมทำ Over Clock กับ CPU มากกว่า
 

ข้อดีของการ Over Clock

ที่เห็นชัดเจนคือได้ใช้ CPU ที่มีความเร็วมากขึ้น โดยที่จ่ายเงินซื้อในราคาเท่าเดิม เช่น แทนที่จะซื้อ CPU ความเร็ว 500 MHz ก็เปลี่ยนแปลงเป็นการซื้อ CPU ที่มีความเร็ว 400 MHz มาทำ Over Clock เป็น 500 MHz ซึ่งผลที่ได้ก็คือ ได้ใช้งาน CPU ที่ความเร็วเท่ากันในราคาที่ถูกกว่า และอีกแนวทางหนึ่ง ก็คือสมมุติว่า คุณใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ไปนาน ๆ แล้ว เกิดมีความรู้สึกว่าเครื่องที่ใช้งานอยู่นั้น เริ่มจะมีความเร็วช้าไปบ้าง แต่ยังไม่อยากที่จะลงทุนเปลี่ยนเครื่องหรือ Upgrade เปลี่ยน CPU ใหม่ การนำเอา CPU ตัวเดิมนั้นมาทำ Over Clock ก็เป็นทางออกอีกทางหนึ่ง ที่จะได้ความเร็วเพิ่มขึ้นมา โดยการเสียเงินน้อยที่สุดครับ นอกจากนี้ยังได้ความรู้เกี่ยวกับ เครื่องคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นด้วย

ข้อเสียของการ Over Clock 

เท่าที่ทราบมา่ จะเป็นการลดอายุการใช้งานของ CPU ลงไป เช่นจากเดิมที่เ้คยออกแบบมาให้ใช้งานได้ประมาณ 15 ปี ก็อาจจะมีอายุสั้นลงมาเหลือแค่ 10 ปีเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็คงจะไม่มีใครใช้งาน CPU ได้นานขนาดนั้นหรอกครับ อีกข้อหนึ่งก็คือ เรื่องความร้อนของเครื่องคอมพิวเตอร์ จะมีมากขึ้นเมื่อทำการ Over Clock เพราะว่าเหมือนกับการใช้งาน CPU แบบเกินกว่าค่าปกตินะครับ อ้อ อีกอย่างหนึ่ง เขาบอกว่า CPU ของคุณจะหมดประกันทันทีที่ทำการ Over Clock (ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันนะครับว่า จะตรวจสอบได้อย่างไร)
อันตรายจากการทำ Over Clock

ข้อควรระวังอย่างมากก็คือ ไม่ควรที่จะทำการ Over Clock มากเกินไป และต้องระวังเรื่องของการระบายความร้อนให้ดีด้วย (เมนบอร์ดรุ่นใหม่ ๆ จะสามารถดูค่าความร้อนจาก BIOS ได้โดยตรงครับ) หาก CPU ร้อนมาก ๆ ก็อาจจะเสียหายถึงขั้นพังไปเลยได้นะครับ ระวังกันให้ดีนะครับ หากใครอยากจะลอง ก็ขอให้่ใช้วิธีีค่อย ๆ เพิ่มความเร็วขึ้นไปเรื่อย ๆ ทีละขั้นครับ และตรวจสอบความร้่ิิอนของ CPU อยู่เสมออย่าให้ร้อนจนเกินไป

จะเพิ่มความเร็วของ CPU ได้อย่างไร

ความเร็วของคอมพิวเตอร์ที่เรียกกันว่ากี่ MHz มาจากตัวเลข 2 ตัวคูณกันครับ คือ FSB กับ Multiple หรือเรียกง่าย ๆ คือความถี่กับตัวคูณ นั่นเอง ปกติแล้ว CPU รุ่นเก่า ๆ เช่น Pentium 100 ถึง Pentium ll รุ่นแรก ๆ และ Celeron จะใช้ FSB เป็น 66 MHz ถ้าเป็น CPU รุ่นหลังจากนั้นมา มักจะใช้ FSB ที่ 100 MHz หรือ 133 MHz แล้วครับ ความเร็วที่ได้ก็จะมีตัวคูณกำหนดเพิ่มเข้าไปด้วย ผมยกตัวอย่างเช่น 100 MHz จะมาจาก FSB = 66 กับตัวคูณ 1.5 ครับ หรือ 133 MHz = 66 x 2 , 200 MHz = 66 x 3 , 366 MHz = 66 x 5.5 , 400 MHz = 100 x 4 , 600 MHz = 100 x 6 หรือ 667 MHz = 133 x 5 เป็นต้น

ดังนั้น หลักการเพิ่มความเร็วให้กับ CPU แบบง่าย ๆ ก็คือ ให้เพิ่มค่าของ FSB หรือ ตัวคูณเข้าไป เช่นจาก CPU ตัวเดิมเป็น 400 MHz ที่ 100 x 4 เราอาจจะตั้งค่าใหม่เป็น 100 x 4.5 แทนก็จะได้ความเร็ว 450 MHz ครับ แต่อย่าเพิ่งคิดว่าจะง่ายอะไรขนาดนั้น สำหรับ CPU ของ AMD เช่น K6ll , K6ll ก็อาจจะใช้วิธีนี้ได้เลยแต่หากเป็น CPU ของ Intel รุ่นหลัง ๆ จะมีการล็อคตัวคูณมาจากโรงงานไว้แล้่วเพื่อป้องกันผู้ขายหรือร้านค้านำมาทำ Over Clock แล้วลบตัวเลขความเร็วบนซิป โดยพิมพ์ตัวเลขค่าความเร็วที่สูงกว่าแทน นำมาหลอกขายลูกค้าหรือที่เรียกว่า CPU Remark ครับ ดังนั้นการ Over Clock CPU ของ Intel ก็จะไม่สามารถใช้วิธีการเพิ่มตัวคูณได้นะครับ ต้องใช้วิธีการเพิ่ม FSB อย่างเดียวเท่านั้น

นอกจากนี้ ในส่วนของ CPU AMD Athlon ก็อาจจะต้องมีการ์ดหรืออุปกรณ์พิเศษสำหรับการทำ Over Clock ด้วยนะครับ ลองหาอ่านจาก Link ด้านท้ายบทความนี้ดู
การปรับเปลี่ยนค่าต่าง ๆ ทำที่ไหน

การปรับเปลี่ยนค่าของ FSB หรือ ตัวคูณ รวมทั้งค่าต่าง ๆ เช่น Vcore ที่ผมจะำพูดถึุงต่อไป ต้องดูจากคู่มือของเมนบอร์ดประกอบด้วยนะครับ เพราะเมนบอร์ดแต่ละรุ่นจะไม่เหมือนกับ บางรุ่นอาจจะทำการปรับโดยการเปลี่ยน jumper บนเมนบอร์ดโดยตรง แต่บางรุ่นอาจจะเป็นการเข้าไปปรับค่าใน BIOS ครับ ดังนั้นต้องดูตามคู่มือของเมนบอร์ดด้วย หากไม่มีคู่มือ ก็คงต้องลองมองหาเอาเอง ทั้งจากเมนบอร์ดที่อาจจะมีการพิมพ์ติดไว้หรือการตั้งค่าต่าง ๆ ใน BIOS ด้วยครับว่ามีให้ปรับด้วยหรือเปล่า

เริ่มต้นการทำ Over Clock

หลังจากกำหนดความเร็วของ CPU ก็ทราบกันแล้วนะครับ ดังนั้นการทำ Over Clock ก็เริ่มต้นได้่เลย โดยการตั้งค่า FSB และ Multipel หรือตัวคูณใหม่ให้ได้ค่าที่เร็วกว่าเดิม โดยให้ทำการเพิ่มขึ้นไปทีละขั้นนะครับ เช่นจาก 400 MHz ที่ 100 x 4 ก็เพิ่มเป็น 420 MHz ที่ 405 x 4 ก่อน แล้วทดลองใ้ช้งานดูสักพักหนึ่งว่ามีปัญหาการใช้งานหรือไม่ ความร้อนเพิ่มขึ้นมามากน้อยเพียงใด หากยังเป็นปกติดี ก็ให้เพิ่มความเร็วไปเรื่อย ๆ จนถึงขีดสุดของ CPU ครับคือเครื่องจะเริ่มมีปัญหา เข้า Windows ไม่ได้ หรือเข้าได้แต่ใช้งานหนัก ๆ แล้วจะแฮงค์นั่นแปลว่าถึงขีดสุดของ CPU แล้ว ก็ให้ลดความเร็วลงมา 1 ขั้นก่อนที่จะ้เริ่มพบปัญหาครับ ถ้าการใช้งานต่าง ๆ เป็นปกติดีก็ถือว่าผ่าน (ในขั้นตอนแรกนะครับ) ขั้นตอนต่อไปก็คือการจัดการกับระบบต่าง ๆ เพื่อให้สามารถทำการ Over Clock หรือเพิ่มความเร็วให้มากขึ้น โดยการปรับปรุงค่าต่าง ๆ ที่จะแนะนำต่อไป

การปรับ Vcore กับการทำ Over Clock 

ก่อนอื่นมารู้จักกันก่อน Vcore คือค่าของ ไฟเลี้ยงของ CPU ซึ่งแต่ละรุ่นจะใช้ไฟเลี้ยงไม่เท่ากัน ดังนั้นต้องศึกษาหาข้อมูลต่าง ๆ ให้ดีนะครับว่า ค่าปกติของ CPU แต่ละรุ่นเป็นเท่าำำไร เช่น K6II , K6II จะใช้ 2.2 V. , Celeron , PII และ PIII จะใช้ 2.0 V. และ PIII รุ่นใหม่ ๆ จะใช้ที่ 1.6 V. ส่วนใหญ่จะสามารถเพิ่มค่าของ Vcore ขึ้นไปได้อีกประมาณ 0.2 - 0.4 V. โดยที่การเพิ่ม Vcore ให้มากขึ้นก็จะสมารถทำให้การ Over Clock ทำได้มากขึ้นตามไปด้วย แต่การเพิม Vcore ไปมากเท่าไร
 
ความร้อนของ CPU ก็จะเพิ่มมากตามไปด้วยนะครับ หลักการเพิ่ม Vcore โดยทั่วไปก็คือ ให้เพิ่มขึ้นทีละน้อยทีสุดครับ เช่นทีละ 0.05 V. หรือทีละ 0.1 V. และทดลองใช้งานดู หากยังไม่เสถียรนัก ก็ลองเพิ่ม Vcore ขึ้นไปอีก โดยที่รวมแล้ว ต้องไม่มากจนเกินไปนะครับ คือ ไม่ควรเกินกว่าปกติมากกว่า 0.2 - 0.4 V. ไม่เช่นนั้น CPU ของคุณอาจพังได้นะครับ (สำหรับท่านที่โชคดี ได้ CPU ตัวที่ดี ๆ มาใช้อาจจะสามารถนำมาทำ Over Clock โดยที่ไม่ต้องเพิ่มไฟ Vcore เลยก็ได้ แต่ค่อนข้างจะหายาก)
อีกนิด สำหรับ CPU แบบ Slot 1 ส่วนใหญ่จะเป็นการ Detect จากเมนบอร์ด ทำให้เราไม่สามารถปรับค่าไฟ Vcore ให้เพิ่มขึ้นได้นะครับ แต่ก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งคือการปิดขา CPU เพื่อเพิ่มไฟ ลองหาอ่านจาก Link การเปิดขา CPU slot - 1 เพื่อเพิ่ม Vcore

การระบายความร้่ิืิอนที่ดี สำหรับการทำ Over Clock

หัวใจสำคัญของการทำ Over Clock ก็คือการระบายความร้อนออกจากตัว CPU ยิ่งเราทำการระบายความร้อนได้ดีมากเพียงใด ก็จะทำให้เราสามารถทำ Over Clock ได้มากขึ้นเท่านั้นครับ และยังสามารถยืดอายุการใช้งานของ CPU ได้อีกด้วย
 
วิธีการระบายความร้อนก็มีอยู่ำไม่กี่วิธีนะครับ ลองอ่านและืำืทำความเข้าใจ หลังจากนั้นลองเลือกทำตามที่คุณคิดว่าพอจะทำได้ อันไหนมันโหดเกินไป ก็ข้าม ๆ ไปบ้างก็ได้ (แต่ถ้าทำได้ทุกอย่างก็ดี)การเปลี่ยนพัดลมระบายความร้อนของ CPUเรียกได้ว่าเป็นสิ่งแรกเลยที่ควรจะทำครับ เนื่องจากว่าโดยปกติแล้ว
 
พัดลมของ CPU ที่มีมาให้เิดิม ๆ นั้นส่วนใหญ่จะเป็นแค่ตัวเล็ก ๆ เท่านั้น การที่เราเปลี่ยนพัดลมระบายความร้อนของ CPU ใหม่ให้ตัวใหญ่ขึ้น มีความแรงของลมมากขึ้น ก็ทำให้การระบายความร้อนดีขึ้นครับ ลองหาดูตัวอย่างของพัดลมระบายความร้อนแบบต่าง ๆ กันดีกว่า
 
ว่าที่เขาใช้สำหรับ Over Clock กัน มันสุด ๆ ขนาดไหนการติดพัดลมที่เคสเพิ่มเติมก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถทำได้โดยไม่ยากนัก หาพัดลมมาติดเพิ่มอีกตัวหนึ่งที่เคส สำหรับดูดลมเข้าและจะมีการเป่าลมออกอยู่แล้วที่พัดลมของ Power Supply นะครับ ซึ่งจะช่วยได้มากเลยทีเดียว การขัด Heatzing
 
ให้เรียบขึ้นโดยใช้กระดาษทรายน้ำเบอร์ 1500 วางให้เรียบบนแผ่นกระจก แล้วเอา Heatzing ขัดผิวหน้าเบา ๆ ให้ขัดวนไปมาเป็นรูปเลข 8 คอยเติมน้ำเรื่อย ๆ อย่าใจร้อนและห้ามออกแรงกดเด็ดขาด เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันเรียบแล้ว ก็ต่อเมื่อมันเกิด สูญญากาศ จะเกิดแรงตรึงผิวระหว่าง กระดาษทราย กับ Heatzing และห้ามเอา
 
กระดาษทรายหยาบจัดก่อนโดยเด็ดขาด พึงคิดไว้เสมอว่าเราจะทำการขัดผิวหน้าให้เรียบเท่านั้น เพื่อที่มันจะได้สัมผัสแผ่นระบายความร้อนของ CPU ให้แนบสนิทมากที่สุดการทำ Lapping CPUวิธีนี้คือ การขัดผิวสัมผัสของ CPU ด้านที่จะติดกับ Heatzing ให้เรียนนะครับ ซึ่งผมไม่ขอแนะนำให้ทำเพราะว่าอาจจะเกิดความเสียหายต่อ CPU ได้และหากคิดจะนำ CPU ไปขายต่อก็คงยากแล้วนะครับ
 
หลักการทำ Lapping ก็คล้าย ๆ กับการขัด Heatzing นั่นแหละครับ คือใช้กระดาบทรายเริ่มด้วยเบอร์ 800 ขัดตัว CPU ก่อน พอเริ่มเห็นทองแดงแล้วก็ใช้เบอร์ 1500 และปิดท้ายด้วยเบอร์ 2000 เพื่อความเงางาม สะท้อนแสงได้เลย เวลาขัดต้องขัดเป็นรูปเลข 8 อย่าขัดเป็นวงกลมหรือขัดไปในทางใดทางหนึ่ง ขัดให้สีเงินหมดก็พอแล้ว อย่าขัดมากเกินไป ไม่งั้นอาจทำให้เกิดความเสียหายได้ หาอ่านเรื่องการทำ Lapping เพิ่มเติมจากเว็บไซต์
 
http://overclocking.telefragged.com/cooling/lapping.htmlการใช้ ซิลิโคน ทาระหว่าง CPU กับแผ่น Heatzingการใช้ ซิลิโคน (สำหรับแผ่นระบายความร้อนโดยเฉพาะนะครับ) ทาระหว่าง CPU กับ Heatzing ซึ่งซิลิโคน จะช่วยนำพาความร้อนไปสู่ Heatzing ได้ดีขึ้น ทำให้การระบายความร้อนออกจากตัว CPU ทำได้ดีขึ้นครับ อันนี้แนะนำให้หามาทานะครับ โดยวิธีการก็คือ ทาให้บางที่สุด แต่ให้แนบสนิทด้วยนะครับ เพราะเราต้องการให้มีพื้นที่ว่างระหว่าง CPU กับ Heatzing ให้น้อยที่สุดการทำระบบระบายความร้อนด้วยน้ำก็เป็นอีกวิธีหนึ่งครับที่
 
สามารถทำได้ แต่ก็ึคงจะลำบากและอาจจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษสักหน่อย หลักการก็คือการนำเอา Heatzing แบบพิเศษที่จะมีช่องทางเดินของน้ำผ่านเข้ามาด้วย และใช้มอเตอร์ปั้มน้ำให้ไหลเวียนผ่าน เพื่อนำพาความร้อนออกไปด้วย หาอ่านเรื่องนี้ได้จาก Link ด้านล่างการเปิดฝาเคส และใช้พัดลมเป่าระบายความร้อนก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่หลาย ๆ คนนิยมทำกัน จะช่วยให้ระบายความร้อนได้ค่อนข้างดี แต่อาจจะเกะกะ ไม่สะดวกนักการใช้เคสแบบพิเศษอันนี้ขอพูดถึงเล่น ๆ นะ แต่ว่าที่จริงก็มีผู้นำมาใช้งานได้จริง ๆ แล้ว คือการนำเอาตู้เย็นขนาดเล็ก ๆ มาดัดแปลงทำเคส ซึ่งแน่นอน
 
ระบบทำความเย็นยังไงต้องดีกว่าการใช้พัดลมอยูู่แล้วการทำ Burn in CPU

คือการใช้งาน CPU แบบหนัก ๆ เป็นระยะเวลานาน ๆ อย่างต่อเนื่องภายใต้อุณหภูมิสูง เช่นการเพิ่มไป Vcore เข้าไปอีกนิดหน่อย และหาโปรแกรมที่ต้องใช้งาน CPU หนัก ๆ มารันค้างไว้ เช่น Prime 95 หรือโปรแกรม Benchmark ต่าง ๆ โดยที่การทำ Burn in จะทำให้เกิดการเปลียนแปลงของ Interface ต่าง ๆ ภายใต้ตัวซิป CPU ทำให้มีการเชื่อมต่อที่ดีขึ้น ดังนั้น การ Burn in จึงมีส่วนช่วยให้สามารถใช้งาน CPU ได้ที่ความเร็วมากขึ้นด้วย หลักการทำ Burn in สำหรับการ Over Clock ก็คือ หลังจากที่ปรับความเร็วได้สูงที่สุดแล้ว ให้ทดลองทำ Burn in หรือใช้งานหนัก ๆ สัก 1 สัปดาห์ หลังจากนั้น จึงทดลองเพิ่ม ความเร็วไปอีก ซึ่งอาจจะได้ความเร็วที่สูงขึ้นกว่าเดิมก็ได้

ประสิทธิภาพของแคช Level 2 บน CPU

ปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการ Over Clock ก็คือความสามารถของแคช L2 ว่าจะสามารถทำงานได้ตามความเร็วของ CPU หรือ FSB หรือไม่เนื่องจากการทำงานของแคช L2 นั้นจะทำงานสมัพันธ์กับความเร็วของ FSB หรือ CPU โดยขึ้นอยู่กับสถาปัตยกรรมของระบบนั้น ๆ บน Socket7 แคช L2 จะมีความถี่เดียวกับ FSB แต่สำหรับ Pentiumll ความถี่จะเป็นครึ่งหนึ่งของความเร็ว CPU และบน celeron จะใช้ที่ความถี่เดียวกับ CPU เลย ดังนั้นความสำเร็จจากการ Over Clock จึงขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของแคช L2 ด้วย ถ้าการ Over Clock ไม่สำเร็จ ก็ให้ลอง Disable Cache L2 ใน BIOS แล้วลองดูใหม่ ถ้่าระบบเสถียรขึ้น หรือสามารถบูตได้ก็แสดงว่า อาจจะมาจากสาเหตุนี้ก็ได้ (แต่อย่าลืมว่าการ Disable Cache L2 นี้จะทำให้ปประสิทธิภาพของ CPU นั้นลดลงไปด้วย)

รู้จักกับระบบความเร็วบัสต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์กันก่อน
โดยทั่วไปแล้ว การทำ Over Clock โดยการเพิ่ม FSB ให้สูงขึ้นนั้น จะเป็นการเพิ่มความเร็วของระบบบัสต่าง ๆ ในเครื่องด้วยนะครับ ดังนั้นอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ทำงานอยู่บนระบบบัสเหล่านี้ ก็จะต้องทำงานที่ความเร็วสูงขึ้นตามไปด้วย การเลือกใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น VGA Card , Sound Card หรือแม้แต่ Hard Disk ก็จะต้องสามารถรองรับการทำงานของบัสต่าง ๆ ที่สูงผิดปกตินี้ได้ด้วยครับ เพื่อความเข้าใจระบบบัสต่าง ๆ ที่มีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ง่ายขึ้น ผมขอแบ่งออกง่าย ๆ ตามนี้ความเร็วของ External Clock หรือ FSB ส่วนใหญ่ก็จะเป็นมาตรฐานครับ เช่น 50 , 55 , 60 , 66 , 75 , 83 , 100 , 133 , 150 หรือ 180 MHz การปรัับค่าต่าง ๆ จะทำได้ละเอียดมา
 
กน้อยเ้พียงใดขึ้นอยู่กับเมนบอร์ดแต่ละรุ่นความเร็วของ PCI Bus จะมีความเร็วมาตรฐานที่ 33 MHz หรือเป็น 1/3 เท่าของ FSB สำหรับเมนบอร์ดที่ดี ๆ ก็จะสามารถปรับอัตราส่วนของ PCI ได้หลายค่าเช่น 1/2 , 1/3 หรือ 1/4 เท่าของ FSB ก็ได้ เช่น เราสามารถใช้ FSB ที่ 133 MHz แต่ว่า PCI ยังสามารถทำงานได้ที่ 33 MHz นะครับโดยการปรับอัตราส่วนเป็น 1/4 เป็นต้นความเร็วของ AGP Bus โดยทั่วไปแล้ว AGP จะเป็น Slot สำหรับการ์ดแสดงผลครับ ซึ่งใน 1 เครื่องคอมพิวเตอร์จะมี AGP Slot
 
เพียงแค่อันเดียวนะครับ โดยที่ AGP Bus จะทำงานที่ความเร็ว 66 MHz หรือเป็น 2/3 เท่าของ FSB นะครับ หลักการอื่น ๆ ก็เหมือนกันกับ PCI คือสามารถปรับเป็นอัตราส่วนความเร็วค่าต่าง ๆ เช่น 2/3 หรือ 1/2 เป็นต้นความเร็วของ RAM Bus ส่วนใหญ่แล้ว RAM จะทำงานที่ความเร็วเดียวกับ FSB แต่ว่าในเมนบอร์ดบางรุ่นที่ดีึ ๆ ก็ยังสามารถปรับอัตราส่วนความเร็วได้ด้วย เช่น FSB เป็น 133 MHz แต่ RAM ทำงานที่ 100 MHzโดยสรุป ก็คือการเลือกซื้อเมนบอร์ดที่สามารถปรับค่าต่าง ๆ เหล่านี้ได้ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้คุณทำการ Over Clock ได้ดีขึ้น จากข้อมูลข้างบน จะเห็นว่า หากเราใช้เมนบอร์ดแบบทั่ว ๆ ไป ใช้งาน FSB ที่ 120 MHz ลองมาดูกันนะครับ จะเห็นว่า PCI จะต้องทำหน้าที่ 40 MHz และ AGP ก็ต้องทำงานที่ 80 MHz ซึ่งอุปกรณ์บางชนิด จะไม่สามารถทำงานได้ เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของปัญหา Over Clock ที่ไม่ควรมองข้ามไป

อุปกรณ์รอบข้าง ก็มีผลต่อการทำ Over Clock ด้วย

จากความรู้เรื่องของความเร็ว FSB และระบบบัสต่าง ๆ ก็จะเห็นว่า การทำ Over Clock โดยการเพิ่ม FSB และทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ทำงานที่ความเร็วไม่มาตรฐาน ดังนั้น การเลือกซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ ก็มีความสำคัญมากนะครับ ว่าอุปกรณ์แต่ละชนิดนั้น จะสามารถทนรับความเร็วที่ผิดปกติได้มากน้อยเพียงใด อุปกรณ์ที่ผมพูดถึง ก็เช่น VGA Card , Sound Card , Hard Disk หรือ RAM นะครับ ดังนั้นต้องเลือกกันให้ดี

Power Supply ปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม
หลาย ๆ ท่านอาจจะมองข้ามปัญหาของ power Supply ไป แต่ที่จริงแล้ว กำลังไฟของอุปกรณ์จ่ายไฟเช่น Power Supply นี่ต้องถือว่ามีความสำคัญมากเหมือนกันนะครับ คุณลองนึกดูนะ ว่าการเพิ่มความเร็วของ CPU จะทำให้ต้องใช้กำลังไฟ เพิ่มขึ้นมากเท่าไร การติดพัดลมเพิ่มเติม ก็ล้วนแต่กินไฟทั้งนั้น ดังนั้นหากเป็น Power Supply ที่ใช้งานมานาน ๆ แล้วหรือมีกำลังไฟต่ำ ๆ ก็ต้องพิจารณากันด้วย

สายการผลิต หรือเทคโนโลยีที่ใช้ CPU ก็มีส่วนสำคัญ 

การเลือก CPU ในแต่ละรุ่น หรือแต่ละสายการผลิต ก็มีส่วนสำคัญกับการทำ Over Clock ว่าจะได้มากหรือน้อยด้วยนะครับ ผมยกตัวอย่างเช่น Celeron 366 MHz เปรียบเทียบกับ Celeron 533 MHz นะครับ สมมุติว่า CPU 2 รุ่นนี้ผลิตมาจากเทคโนโลยีเดียวกัน ซึ่งสามารถทำงานได้ที่ความเร็วสูงสุดน่าจะได้ใกล้เคียงกัน แต่ว่าหากเรามองหลักการ Over Clock ซึ่งสำหรับ Celeron นั้นจะล็อคตัวคุณ ทำให้เราใช้วิธีการเพิ่ม FSB ได้อย่างเดียว จะเห็นว่า 366 = 66 x 5.5 ในขณะที่ 533 = 66 x 8 นะครับ ซึ่งลองนึกภาพกาีรนำเอา CPU 2 ตัวนี้มาทำงานที่ FSB 100 MHz ก็จะำได้ 366@550 กับ 533@800 ซึ่งโอกาสที่เราจะได้ตัว 533@800 นี่แทบจะไม่มีเลยทีเดียวนะครับ ดังนั้น CPU รุ่นแรก ๆ ที่เพิ่งออกมา จะสามารถนำมาทำ Over Clock ได้ดีกว่ารุ่นหลังนะครับ ยกตัวอย่างเช่น Celeron II 566 MHz ตอนนี้ที่เพิ่งออกมา หลายคนสามารถใช้ FSB 100 MHz ได้สบาย ๆ ครับ หรือ Pentium III 500 รุ่นแรก ๆ ก็สามารถใช้งานที่ FSB 133 MHz ได้เป็นต้น

การเพิ่ม ตัวคูณ กับเพิ่ม FSB อะไรดีกว่ากัน
การทำ Over Clock ที่ดีควรจะเพิ่ม FSB นะครับ เพราะว่า FSB คือความเร็ว External Clock ที่จะเป็นตัวกำหนดความเร็วของอุปกรณ์อื่น ๆ ให้ทำงานเร็วขึ้นด้วย การที่เี่ีราลด FSB ลงมาแต่เพิ่มตัวคูณเข้าไป อาจจะได้ตัวเลขที่สูงขึ้น แต่จริงแล้วความเร็วโดยรวม ๆ อาจจะำไม่ได้เพิ่มขึ้ีนมามากนัก ดังนั้นหากเป็นไปได้ควรใช้วิธีเพิ่ม FSB
สุดท้ายก็ขอจบเท่านี้นะครับ เขียนไปยังก็ยังนึกอยู่เหมือนกันนะ ว่าจะมีคน อ่านจนจบได้จริง ๆ ซักกี่คนกันเนี้ย เอาเป็นว่าใครอ่านแล้วมีข้อแนะนำติชม หรือต้องการแก้ไขข้อมูลที่ผมอาจจะเขียนผิดได้ บอกกันหน่อยนะครับ
 
ที่มา http://www.dld.go.th/ict/article/hard/hw20.html

ข้อเสีย The new iPad


ข้อเสีย The new iPad 
 
เรียกได้ว่า ปัญหาของ The new iPad (iPad 3) นั้น เป็นปัญหาแบบ ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก จริงๆ ครับ เพราะหลังจากที่ปัญหาก่อนหน้าของ The new iPad (iPad 3) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการชาร์ตแบตเตอรี่, ตัวเครื่องร้อน รวมไปถึงเรื่องอื่นๆ ถูกแก้ไขไปไม่ทันไร ก็มีปัญหาใหม่ให้ทางทีมพัฒนา Apple ได้ปวดหัวกันอยู่เรื่อยๆ กับปัญหาล่าสุด ที่มีผู้ใช้งาน The new iPad (iPad 3) บางส่วนในต่างประเทศ ร้องเรียนว่า หลังจากที่ทำการเชื่อมต่อสัญญาณ Wi-Fi แล้วจะเปลี่ยนมาใช้สัญญาณ 3G ปรากฎว่า ไม่สามารถเชื่อมต่อได้ครับ โดยตัวเครื่อง ก็จะมี error message ปรากฎขึ้นมาด้วยว่า ไม่สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายได้ ทั้งๆ ที่ในบริเวณนั้นมีสัญญาณ 3G เต็มเปี่ยม

อย่างไรก็ดี ปัญหาดังกล่าวนี้ ไม่ได้พบเจอเพียงแค่ประเทศเดียวครับ ผู้ใช้งาน The new iPad (iPad 3) ทั้งในประเทศสเปน, สหราชอาณาจักร หรือสวิตเซอร์แลนด์ ต่างก็พบกับปัญหาเหล่านี้กันถ้วนหน้า ซึ่งมีผู้ใช้งานเครือข่าย Verison ในสหรัฐอเมริกา ได้แนะวิธีแก้ปัญหาเบื้องต้น โดยให้ปิดสัญญาณ LTE ซะ แต่ปัญหาก็คือว่า ประเทศส่วนใหญ่ในแถบยุโรปนั้น ยังไม่มีเครือข่าย 4G LTE ครับ
 
ฉะนั้น วิธีการนี้จึงช่วยไม่ได้มากเท่าที่ควร
นอกจากนี้ ผู้ใช้งาน The new iPad (iPad 3) บางราย ได้พยายามแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยหลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การ reboot เครื่อง, reset การตั้งค่าต่างๆ หรือเปิดการใช้งาน Airplane mode ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนัก ทำให้คาดเดากันว่า ปัญหาเหล่านี้ น่าจะเกิดมาจากเฟิร์มแวร์ iOS 5.1 เสียมากกว่า ส่วนทาง Apple ในตอนนี้ก็ยังคงไม่ตอบโต้อะไรกับปัญหานี้ คาดว่า เร็วๆ นี้น่าจะมีทางแก้ไขอย่างแน่นอนครับ
 
ที่มา http://www.techmoblog.com/new-ipad-requires-reboot-to-connect-to-3g-networks/

วิธีการเลือกซื้อโน๊ตบุ๊ค


วิธีการเลือกซื้อโน๊ตบุ๊ค
 
ทุกวันนี้สินค้าเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันและเกือบทุกสาขาอาชีพ ในภาวะที่เรียกว่าเศรษฐกิจไม่ค่อยจะดี  สินค้าไอทียังคงทวีความจำเป็นยิ่งขึ้นเพราะหลายปัจจัยเข้ามากระตุ้นให้มีการใช้งานเทคโนโลยี ทั้งการลดค่าใช้จ่าย และการอำนวยความสะดวกในการทำงาน
 
 
จึงขออนุญาตแนะนำหลักการง่ายๆในการเลือกซื้อโน้ตบุ๊กใหม่ เพื่อการใช้งานเต็มประสิทธิภาพอย่างคุ้มค่า เน็ตบุ๊ก - โน้ตบุ๊ก อย่างไหนเหมาะก่อนอื่นลองมองถึงความต้องการในการใช้งานก่อนว่าต้องการใช้โน้ตบุ๊กที่จะซื้อต้องการใช้งานอะไรบ้าง ถ้าต้องการพกพาสะดวก ใช้งานแค่เล่นอินเทอร์เน็ต พิมพ์งาน แชต ตกแต่งรูปภาพเล็กๆน้อยๆ เน็ตบุ๊กถึงจะเป็นเครื่องที่เหมาะกับการทำงานของคุณ แต่ถ้าต้องการใช้งานประเภทหนัก เช่น การตัดต่อวิดีโอ เล่นเกม ทำงานที่เกี่ยวกับการออกแบบ เน็ตบุ๊กคงไม่สามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้ดังนั้น สิ่งแรกที่ควรถามตนเองก่อนการตัดสินใจซื้อคือ "จุดประสงค์ในการใช้งาน" เมื่อได้จุดประสงค์ในการใช้งานแล้วค่อยมาตัดสินใจในปัจจัยอื่นๆที่ตามมา ที่สำคัญอย่าลืมว่าเน็ตบุ๊กไม่มีไดรฟ์ดีวีดี
 
 ผู้ควรเลือกรุ่นที่แถมไดรฟ์มาด้วย หรือไม่ก็เสียเงินซื้อมาใช้งานเอง ซื้อเน็ตบุ๊กอย่าเกิน 15,000.-ถ้าจุดประสงค์ตรงกับคำตอบว่า "เน็ตบุ๊ก" สิ่งที่ต้องตัดสินใจต่อมาคือ ขนาดของเครื่อง โดยในท้องตลาดขณะนี้มีขายอยู่ตั้งแต่ ขนาด 7 นิ้ว ถึง 12 นิ้ว ซึ่งโดยส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าหน้าจอขนาด 10 นิ้ว คือขนาดที่เหมาะที่สุดกับการใช้งานแบบพกพา เพราะความละเอียดหน้าจอขนาด 10 นิ้ว จะอยู่ที่ 1024 x 600 พิกเซล ซึ่งเป็นขนาดที่พอจะเปิดใช้งานหน้าเว็บไซต์ได้อย่างไม่ตกหล่น แต่ถ้าใช้งานในขนาดหน้าจอที่เล็กกว่านั้น นอกจากจะต้องเลื่อน ขึ้น-ลง ในการอ่านเว็บแล้ว ยังต้องเลื่อน ซ้าย-ขวา อีกด้วยเรื่องที่ต้องคิดตามหนีไม่พ้น ระยะเวลาแบตเตอรี่ เน็ตบุ๊กทั่วไปในท้องตลาดขณะนี้มีแบตเตอรี่อยู่ 2 ขนาดให้เลือกคือ 3 เซลล์ และ 6 เซลล์ การใช้งานโดยเฉลี่ยจากการทดสอบจะพบว่าแบตเตอรี่ขนาด 3 เซลล์จะใช้งานได้ประมาณ 2 - 3 ชั่วโมงเท่านั้น ในขณะที่แบตเตอรี่ขนาด 6 เซลล์ จะใช้งานได้ 5 - 6 ชั่วโมง ดังนั้นถ้าจำเป็นที่จะต้องใช้งานนอกสถานที่เป็นเวลานาน และการเพิ่มเงินอีกประมาณ 1,500 - 2,000 บาท ไม่น่าจะเป็นภาระมากเกินไป
 
ควรที่จะลงทุนเพิ่มในจุดนี้ด้วยราคาถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการเลือกซื้อสินค้า สำหรับเน็ตบุ๊กผู้เขียนคิดว่า ไม่ควรซื้อที่ราคาเกิน 15,000 บาท เพราะในระดับราคาเกินจากนั้น สามารถนำไปซื้อโน้ตบุ๊กที่ใช้งานได้ครบถ้วนมากกว่า โดยจากการสำรวจตลาดจะพบว่าราคาของเน็ตบุ๊กจะแพงขึ้นตามขนาดของฮาร์ดดิสก์ และความเบาของน้ำหนักเครื่อง ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นที่จะเก็บข้อมูลจำนวนมากในเครื่อง การใช้ SSD ขนาด 40 - 120 กิกะไบต์ก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว ส่วนน้ำหนักของหลายๆ ยี่ห้อจะเฉลี่ยอยู่ที่ ประมาณ 1 กิโลกรัมเท่านั้น ดูโน้ตบุ๊กให้ดูราคาถ้าจุดประสงค์ของผู้อ่านตรงกับ "โน้ตบุ๊ก"
 
ค่อยมาคิดต่อว่าจะใช้งานเครื่องในลักษณะไหนบ้าง โดยโน้ตบุ๊กในตลาดขณะนี้จะแบ่งออกเป็น 3 ระดับราคาคือ ประมาณ 10,000 - 20,000 บาท สำหรับโน้ตบุ๊กที่นำมาใช้งานทั่วๆไป ทำงานได้ครบถ้วนรอบด้านแต่ยังไม่เต็มที่ โดยจะเหมาะกับตลาดคอนซูเมอร์มากที่สุด เพราะว่าสามารถใช้งานได้ครบถ้วน ตั้งแต่นักเรียน นักศึกษา ไปจนถึงนักธุรกิจ ถ้ามีจุดประสงค์การใช้งานที่คล้ายๆ เน็ตบุ๊กในข้างต้น แต่ต้องการหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น ไม่คำนึงถึงขนาดและน้ำหนักของตัวเครื่อง คุณจะได้ความเร็วในการใช้งานที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวต่อมาคือประมาณ 20,000 - 40,000 บาท สำหรับโน้ตบุ๊กที่มาพร้อมการ์ดจอแยก
 
ทำงานได้ครบครันมากขึ้นตามระดับราคา จะเหมาะกับผู้ที่ต้องการใช้งานเทคโนโลยีอย่างเต็มที่ ถ้าพูดในแง่ดีคือ นักศึกษาที่เรียนวิศวะกรรม ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับการตัดต่อวิดีโอ ใช้งานโปรแกรม 3มิติ อย่าง 3ds Max, Maya และ AutoCad แต่อีกแง่หนึ่งก็คือ เป็นโน้ตบุ๊กที่รองรับการเล่นเกมสำหรับวัยรุ่น ที่ต้องการความสะดวกในการใช้งานเช่นเดียวกันท้ายสุดประมาณ 40,000 บาทขึ้นไป สำหรับ โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์โน้ตบุ๊ก ที่มาพร้อมกับความสามารถด้านมัลติมีเดียต่างๆอย่างครบครัน จะเป็นโน้ตบุ๊กที่มีความสามารถในการใช้งานแทนพีซีได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยจะมีจุดเด่นเพิ่มขึ้นในด้านของมัลติมีเดีย
 
ไม่ว่าจะเป็นระบบโฮมเธียเตอร์ที่บางรุ่นมีไดรฟ์บลูเรย์มาให้ใช้แล้ว รวมไปถึงฟีเจอร์ที่หลากหลายตามแต่ละยี่ห้อจะใส่กันมา เช่น วิทยุFM ทีวีจูนเนอร์ ระบบสแกนใบหน้า ฯลฯ ผู้ใช้งานในระดับนี้ส่วนใหญ่จะมีความรู้ในเรื่องเทคโนโลยีพอสมควรแล้ว จึงตัดสินใจซื้อสินค้าที่สามารถตอบสนองความต้องการของตนเองได้ แม้ราคาจะสูงก็ตามแต่ไม่ใช่ว่าโน้ตบุ๊กในแต่ละช่วงราคาจะมีประสิทธิภาพเท่ากันเสมอไป บางยี่ห้อสินค้าอาจจะมีดีไซน์ที่สวยงาม วัสดุที่ใช้มีคุณภาพมากกว่า รวมไปถึงการเพิ่มฟีเจอร์เด่นๆ เครื่องบาง น้ำหนักเบา ปัจจัยต่างๆเหล่านี้ ยังคงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญเช่นเดิม ทำให้การแบ่งช่วงราคาดังกล่าวอาจจะไม่เป็นจริงเสมอไป
 
ดังนั้นการเลือกซื้อโน้ตบุ๊กให้เหมาะสมกับการใช้งานจะเป็นการช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนเกินที่ไม่จำเป็นได้เมื่อเลือกได้แล้วว่าต้องการโน้ตบุ๊กในระดับไหน ค่อยมาดูกันถึงสเปกที่จะให้ความคุ้มค่ามากที่สุดในระดับราคานั้นๆ แน่นอนว่าผู้ซื้อส่วนใหญ่ต้องการที่จะได้ของดีราคาถูก โดยส่วนใหญ่จะเทียบกันจาก ความเร็วของซีพียู, ขนาดของแรม, ความจุของฮาร์ดดิสก์ และความสามารถของการ์ดจอในรุ่นที่สูงขึ้นมาหน่อย ศึกษาสเปกก่อนซื้อในด้านของ ซีพียู ในปัจจุบัน จะมีตั้งแต่รุ่นล่าสุด คือ Core I-3, Core I-5, Core I-7 และ รุ่นก่อนหน้าคือ Core 2 Duo หรือ Dual Core ทำให้ผู้เขียนไม่สามารถ บอกได้ว่า ต้องความเร็วเท่าไหร่ถึงจะดี หรือจะคุ้ม เพราะในส่วนนี้จะขึ้นอยู่กับการใช้งานเป็นสำคัญ ถ้าต้องการใช้งานทั่วๆไป เล่นเน็ต พิมพ์งาน ไม่ได้ประมวลผลหนักมาก แค่ CPU Dual Core 1.6 - 2.2 GHz ก็เพียงพอแล้ว
 
แต่ถ้าต้องนำมาใช้ในการประมวลผล 3มิติ ตัดต่อภาพยนตร์ หรือ ใช้ในการเล่นเกมด้วย คงต้องมองกันที่ Core2Duo ขึ้นไปขึ้นไปละกันครับสำหรับ แรม ผู้เขียนคิดว่า ขนาดของแรมที่จำเป็นต้องใช้งานจริงๆคือ 1 กิกะไบต์ สำหรับใช้งานระบบปฏิบัติการวินโดวส์ เอ็กซ์พี ส่วนถ้าเป็นวินโดวส์ วิสต้า ขนาดของแรมควรอยู่ที่ 2 กิกะไบต์ เป็นอย่างน้อย ถ้าต้องการใช้เพื่อเล่นเกมด้วย ควรที่จะเกิน 2 กิกะไบต์ ขึ้นไปสำหรับเกมใหม่ๆในปัจจุบัน ส่วนผู้ที่ไม่ต้องการใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ แรม ขนาด 1 กิกะไบต์ น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับระบบปฏิบัติการอย่างลินุกซ์ในเรื่องของขนาด ฮาร์ดดิสก์ ถ้าจำเป็นที่จะต้องใช้เก็บไฟล์ที่มีขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก อย่างภาพยนตร์ความละเอียดสูง เพลงเอ็มพี3 ฯลฯ ควรที่จะมองหาขนาดความจุ 320 กิกะไบต์ขึ้นไป แต่ถ้าใช้แค่เก็บไฟล์เอกสาร รูปภาพ เล็กๆน้อยๆ ขนาดเพียง 240 กิกะไบต์ ดูจะเกินความต้องการไปด้วยซ้ำสำหรับ การ์ดจอ ที่มีในโน้ตบุ๊ก ถ้าจะนับรุ่นที่มีขายกันอยู่ในท้องตลาดจริงๆ จะมีเพียงไม่กี่รุ่นเท่านั้น
 
ไม่หลากหลายเหมือนในพีซี ทำให้การเลือกดูในจุดนี้ ไม่น่าจะเกินความสามารถ ทั้งนี้ ถ้าไม่ได้ต้องการเล่นเกม หรือ ใช้งานด้าน 3 มิติ การ์ดจอออนบอร์ด ที่มาในเครื่อง ในโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ๆขณะนี้สามารถที่จะใช้งานทั่วๆไปได้อย่างรับชมภาพยนตร์ได้สบายๆสุดท้ายนี้ในการเลือกซื้อโน้ตบุ๊ก ผู้เขียนขอย้ำว่า ให้เลือกซื้อตามจุดประสงค์การใช้งานจะดีกว่าตามเทคโนโลยีที่ออกมาใหม่แล้วไม่ได้ใช้ เพราะเทคโนโลยีมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ราคาที่ตัดสินใจซื้อในวันนี้อาจจะคิดว่าคุ้มค่าแล้ว พอขึ้นเดือนใหม่หรือเข้าสู่ไตรมาสถัดไป ราคาที่ว่าคุ้มกลับซื้อเครื่องในอีกระดับได้ ดังนั้นหลังจากที่ซื้อโน้ตบุ๊กสักเครื่องอย่าไปตามราคา ในเดือนถัดๆมาอาจจะทำให้ช้ำใจได้ ท้ายนี้หวังว่าบทความนี้จะให้ประโยชน์แก่ผู้ที่กำลังตัดสินใจในการเลือกซื้อโน้ตบุ๊กหรือเน็ตบุ๊กไม่มากก็น้อย ข้อมูลบางส่วนจาก ผู้จัดการออนไลน์
 
ขอบคุณบทความจาก http://www.comforu.com/notebook_choose.aspx

apple ยังคงเป็นเจ้าตลาดสมาร์ทโฟน


apple ยังคงเป็นเจ้าตลาดสมาร์ทโฟน
 
 
ผมว่าไม่เเปลกหรอกครับเพราะตอนนี้ อะไรก็ตามที่ติดยี่ห้อ apple คนทั่วๆไปมองว่าดีหมดถึงเเม้จะห่วยหรือเเพงกว่ายี่ห้ออื่นก็ตาม apple ตอนนี้ก็เป็นเหมือน sony สมัย 10 ปีก่อนที่ใครก็คิดว่า sony ดีหมด เเต่ต้องยอมรับหละครับว่าตลาดสมาร์ทโฟน ตอนนี้ไม่มีใครเอา apple ลงได้เเล้วหละครับ อย่างในเมืองไทยยี่ห้อไหน สเปคเเรงกว่าiphone4s เเต่ขายราคา 18000 - 19000 บาท ผมเดาว่าคงไม่มีใครซื้อ ยี่ห้ออื่นก็ว่าได้ครับ เเต่พูดยากครับ ของเค้านี่ดีจริงครับ ไม่ใช่เเพงเเต่ห่วย เป็นต้นครับ พูดก็พูดนะครับ iphone เนี่ยตอนนี้มันกลายเป็นเครื่องประดับไปเเล้วหละครับพี่น้อง เเต่เพื่อนๆ ถ้าใครเคยเห็น มือถือของ sony รุ่นใหม่ล่าสุดผมว่า ทั้งสวย ทั้งเเรงเเละราคาน่าคบมากครับ
 
 
เข้าเรื่อง
 
 แอปเปิล (Apple) และซัมซุง (Samsung) สองผู้เล่นรายใหญ่ในวงการสมาร์ทโฟนโลก กลายเป็นสองบริษัทผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยผลสำรวจของ Asymco เผยว่า 99% ของส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลกในไตรมาสแรกปี 2012 มีเพียงแค่แอปเปิล และซัมซุงเท่านั้นที่เป็นเจ้าตลาด โดยอีก 1% ที่เหลือเป็นของเอชทีซี ด้านริม (RIM) แอลจี (LG) โซนี่ (Sony) โมโตโรล่า (Motorola) โนเกีย (Nokia) ขาดทุนถ้วนหน้า            
 
 
 รายงานจาก Asymco ระบุว่า ขณะนี้ส่วนแบ่งตลาดในธุรกิจสมาร์ทโฟนทั่วโลกที่มีการสำรวจในช่วงไตรมาสแรกของปี 2012 พบว่า 73% จาก 99% นั้นเป็นของแอปเปิล ซึ่งนำทัพโดย iPhone 4S สมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ขณะเดียวกัน ในอีก 26% ที่เหลือเป็นตลาดของซัมซุง ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนจากเกาหลีใต้ ที่คว้าอันดับ 2 ในส่วนแบ่งตลาดมือถือโลกไป            
 
 ทั้งนี้ ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่มีการสำรวจ พบว่าในเวลานั้นซัมซุงเพิ่งมีตัวเลขส่วนแบ่งตลาดเพียงแค่ 16% เท่านั้น ซึ่งจากตัวเลขดังกล่าวเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าแบรนด์ซัมซุงได้กลายเป็นแบรนด์ที่คนทั่วโลกไว้วางใจ และพร้อมที่จะซื้อสินค้าของซัมซุงมากขึ้น อีกทั้งกลยุทธ์ในการออกสินค้าในทุกๆ เซกเมนต์ ไล่ตั้งแต่สมาร์ทโฟนราคาแพงไปยังสมาร์ทโฟนราคาประหยัดทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ได้ทุกกลุ่มลูกค้านั่นเอง     
 
        สำหรับอันดับ 3 จากผลสำรวจของ Asymco พบว่า เป็นเอชทีซี ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนดังจากไต้หวันที่เพิ่งเปิดตัวสมาร์ทโฟนซับแบรนด์ใหม่อย่าง One Series ออกมา โดยมีส่วนแบ่งการตลาดทั่วโลกอยู่ที่ 1% ส่วนผู้ผลิตสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นๆ ที่เป็นชื่อที่คุ้นหูอย่างริม, แอลจี, โซนี่, โมโตโรล่า และโนเกีย ต่างขาดทุนในธุรกิจสมาร์ทโฟนแทบทั้งสิ้น
 
อ้างอิงจาก ผู้จัดการ